อุ้ม ลักขณา เล่าทั้งน้ำตาชีวิตเหมือนตกสวรรค์ นึกว่าถูกรางวัล สุดท้ายต้องเลิก

อุ้ม ลักขณา เล่าทั้งน้ำตาชีวิตเหมือนตกสวรรค์ นึกว่าถูกรางวัล สุดท้ายต้องเลิก

นักแสดงสาวสุดเซ็กซี่ “อุ้ม ลักขณา” เปิดใจในรายการ ร้านขายยาใกล้ฉัน ร้านขายยา ร้านขายส่งยา WOODY FM ถึงเรื่องราวชีวิตเล่าทุกประเด็นหลังตัดสินใจหย่ากับอดีตสามี “บอล กฤษณะ” ที่คบหากันมากว่า 7 ปี เผยรู้สึกชีวิตเหมือนตกจากสวรรค์

สิ่งที่ได้เรียนรู้คืออะไรบ้าง ? “เราฝากชีวิตไว้กับเขาไงคะ แล้วคิดว่าอุ้มทิ้งทุกอย่างเลยนะ ทิ้งตั้งแต่ทำงานวงการ เพื่อที่จะมาใช้ชีวิตอยู่กับเขา ทิ้งครอบครัว ทิ้งเพื่อน สังคมทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขาคนเดียว จนกระทั่งมีลูก แล้วมันก็เลยทำให้เราตัดหนทางการทำงานของตัวเองไปเลย เหมือนตัดโอกาสตัวเองไปด้วย

แต่แฮปปี้นะเพราะเรามีลูก รู้สึกว่าความสุขของเราคือลูก แล้วคิดว่าฝากฝังชีวิตเราไว้กับคนๆ นี้ ก็เหมือนเป็นพวกเพ้อฝันในอดีตที่ผ่านมาว่าเป็นคนโลกสวยอยากจะมีครอบครัวที่อบอุ่น อยากจะมีสามีที่ดี เพราะเห็นพ่อเราเป็นตัวอย่างเป็นต้นแบบของคนที่เป็นสามีของครอบครัว เราก็อยากจะมีมุมๆนั้น และในวันหนึ่งที่เราได้แต่งงานได้ใช้ชีวิตจริงๆ

รู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์เลยเนอะ ก็ยังพูดกับเขา อุ้มเคยกราบเท้าเขาในวันพ่อเมื่อปีที่แล้วก่อนที่จะมีเรื่อง แล้วพาลูกๆไปกราบ ต้องทำให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่าง เอาพวงมาลัยไปกราบเท้า แล้วบอกเขาว่า ขอบคุณ(น้ำตาคลอ) ที่เป็นพ่อที่ดี ที่ดูแลอุ้ม

และเคยบอกเขาว่า เราโชคดีเนอะที่มีสามีที่ดีมากๆ ทุกคนจะบอกกับอุ้มตลอดว่า เหมือนกับเป็นผู้หญิงที่ถูกหวยรางวัลที่ 1 ที่มีผู้ชายที่ดูแลเราดีมาก รักเรามากๆ เลยทำให้เราไม่ได้คิดระแวดระวังหรือสงสัย เพราะทุกอย่างมันดีจริงๆ มีเรื่องราวมากมายที่เราพยายามปรับตัวกันเยอะ

เพราะว่าคนเรามันอยู่ด้วยกันมา 7 ปี คนละพ่อคนละแม่คนละสังคมกัน อะไรต่างๆ ก็เรียนรู้ซึ่งกันและกันมาเรื่อยๆ แต่พอสุดท้าย มาเจอเรื่องที่ทำให้เราเหมือนตกมาจากสวรรค์ เพราะเราไม่เคยคิด ไม่เคยมีในหัวอุ้มแม้แต่วินาทีเดียวเลยที่จะไม่มีผู้ชายคนนี้ในชีวิต ณ วันนั้นนะคะ วันที่เราพาลูกๆไปกราบเท้าเขา ยังบอกเขาว่าเราแก่ไปด้วยกันนะ ดูลูกเติบโตไปด้วยกัน (ร้องไห้) เพราะคิดว่าเขาคือคนสุดท้ายในชีวิตเราแล้ว แต่แล้วมันไม่ได้เป็นแบบที่ฝันไว้”

การอยู่คนเดียว Single Mom? “ต้องบอกว่าอุ้มก็เป็นคุณแม่ที่ดูแลลูกเองมาตลอดอยู่แล้ว ตลอดเวลาตั้งแต่เขาเกิดมา คลอดเองธรรมชาติ ดูแลเขาเอง ได้เห็นการเจริญเติบโตของเขาจริงๆ เพราะลูกคนนี้คือสิ่งที่เราตั้งใจที่จะมีด้วยความรักของเราทั้งสองคน แล้วอุ้มได้อยู่ในทุกๆ ช่วงสำคัญของเขา ทุกๆ จังหวะในชีวิตเลย

เรียกได้ว่าเป็นคุณแม่เต็มตัวที่ทิ้งทุกอย่างเลยค่ะ ไม่ได้ทำงาน ปั๊มนมให้นมลูกกินกับเต้าดูแลเองทุกอย่าง รู้ทุกขั้นกระบวนการของลูก เพราะฉะนั้น ณ วันนี้ถามว่าการดูแลลูกมันเปลี่ยนไปไหมมันไม่ได้เปลี่ยน เพราะมันเป็นอุ้มคนเดิมอยู่แล้วที่ดูแลเขา แต่สิ่งที่เราได้เห็นคือเขาเป็นเด็กที่ฉลาดมากเลยค่ะ 4 ขวบแต่เข้าใจ

อย่าคิดว่าเด็กสมัยนี้ไม่รู้เรื่องนะคะ ตอนแรกไม่เคยคิดว่าคนเรามันต้องอดทนเพื่อลูก แล้วลูกถึงจะมีความสุขได้ แต่พอมาเจอกับตัวเองทำให้รู้เลยว่า ถ้าเราไม่มีความสุขแล้วเราไม่มีแรงพอที่จะเลี้ยงเขา เขาจะได้รับผลกระทบนั้นอย่างเต็มๆ เลย ดิสนีย์เขารู้ เขาสัมผัสได้ทุกอย่าง

แค่อุ้มนั่งนิ่งๆ เขาก็จะแบบ หม่าม้าร้องไห้ทำไม หม่าม้าเศร้าเหรอ ไปเอาดอกไม้มาให้อะไรแบบนี้ค่ะ หม่าม้าดิสนีย์เป็นกำลังใจให้นะ ดิสโตขึ้นจะทำงานหาเงินดูแลม้านะ โดยที่ไม่เคยสอน เพราะไม่ได้อยากคาดหวังว่าลูกโตขึ้นต้องเลี้ยงเราหรือต้องมาให้อะไรตอบแทนแค่เขามีความสุขในแบบที่เขาเป็น

แค่ 4 ขวบสามารถพูดและแสดงออกมากๆ เลยว่าเข้าใจหัวอกของเรา ถ้าเมื่อไหร่ที่อุ้มอ่อนแอ เขาจะรู้ทันที เลยทำให้รู้ว่าต้องเริ่มที่ตัวเรา คือต้องรักตัวเองก่อนในเมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นแล้วไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้ว เพราะเชื่อว่าเราทำดีที่สุด อดทนมาจนถึงจุดที่มันสุดท้ายแล้วไม่ได้จริงๆ ก็ต้องยอมรับความจริงบนโลกใบนี้

ยอมรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นและทำหน้าที่ความเป็นพ่อเป็นแม่ดีที่สุดเพื่อลูก ให้เติบโตมาโดยที่ไม่รู้สึกว่าเขาขาดหรือว่าเขาจะไม่ภูมิใจในตัวพ่อเขา สิ่งหนึ่งที่อุ้มจะไม่สอนลูกเลยคือ ไม่สอนให้ลูกตัวเองรับรู้ถึงปัญหาว่าพ่อกับแม่มีปัญหาอะไรกัน หรือเขาจะไม่ภูมิใจในตัวพ่อเขา

อุ้มจะบอกเขาเสมอว่า ป๊ะป๋ารักดีสนีย์มากและหม่าม้าก็รักดีสนีย์มาก ในวันนี้หม่าม้ากับป๊ะป๋าเป็นเพื่อนกัน ครั้งแรกเขาไม่เข้าใจนะคะ เขาบอกว่าเป็นเพื่อนได้ยังไงแต่งงานกันก็ต้องเป็นสามีภรรยาสิ เด็กแค่ 4 ขวบ เขาพูดคำนี้ออกมา เราก็บอกว่าได้สิลูก แต่ป่ะป๊าหม่าม้าก็ยังรักลูกเหมือนเดิม

คราวนี้เราต้องย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพฯ ใช่ไหมคะ เขาเกิดที่เชียงใหม่ เขาก็พูดว่าบ้านเขาอยู่เชียงใหม่ เพื่อนเขาอยู่เชียงใหม่ ทำไมหม่าม้าต้องย้ายบ้าน เราก็ตอบว่าบ้านพังป๊ะป๋าต้องอยู่ซ่อมบ้าน ก็เลยเปิดคลิปวิดีโอที่เป็นบ้านพังถล่มให้เขาดู แล้วก็บอกกับพ่อเขาให้เราพูดไปในทางเดียวกัน ว่าป๊ะป๋าต้องอยู่ซ่อมบ้านเดี๋ยวลูกกลับมาอยู่กรุงเทพฯ กับหม่าม้า อากง เฮียก้า น้านิว ซึ่งเขาก็แฮปปี้”

มีคนส่งข้อความเข้ามาว่าเจอเรื่องราวแบบเรา แล้วเขาขอคำปรึกษาบ้างไหม? “มีนะคะ ก็มีว่าเขาไม่กล้ามูฟออนจากความสัมพันธ์แบบนี้ โดนสามีทำมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ก็ไม่สามารถที่จะเดินหน้าต่อไปได้ ทำไมพี่อุ้มถึงใจเด็ดจัง ทำไมครั้งเดียวแล้วไปเลย คืออุ้มก็จะบอกว่า หนทางที่มันเดินทางร่วมกันมาอุ้มเคยบอกกับเขาเสมอว่าทุก ๆ เรื่องเราคุยกันได้ เราปรับกันได้ อุ้มกับเขาระยะทางที่ผ่านมามันมีปัญหามากมายอุปสรรคเยอะแยะไปหมด ความไม่เหมือนกันของเราทั้งคู่

แม้กระทั่งมีลูกแล้วก็ยังมีปัญหาโน้นนี่นั่น แต่มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ถ้าเรารักกันมากพอ แล้วเราจับมือกันข้ามไปได้ แต่ถ้ามันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มันเป็นเรื่องที่คนเรามีบรรทัดฐานไม่เท่ากัน ซึ่งอุ้มมีบรรทัดฐานของอุ้มอยู่ที่จุดนี้ แต่เขาไม่เคยแตะมาถึงจุดนี้ มันให้อภัยกันได้ คุยกันได้ แต่เมื่อไหร่ที่เขาแตะอันนี้ ไม่ได้”

คิดว่าผู้หญิงหลายคนที่โดนทำร้ายร่างกายยังไม่กล้าออกจากความสัมพันธ์? “เขาคงกลัวมั้งคะ อาจจะคิดว่าไม่มีใครแทนที่คนๆ นี้ได้หรือเปล่า เป็นความคิดมโนไปเองว่า ไม่มีใครรักเราเท่านี้หรอก เราจะออกไปหาใครได้ อายุขนาดนี้แล้ว หรือมีคนชอบพูดอย่างนี้กับอุ้ม คนสนิทบางคนนะ อายุขนาดนี้แล้วอ่ะ

ทำไมต้องออกไปเสี่ยง ออกไปทำอะไรที่มันไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเจออะไร เราก็เลยย้อนกลับไปว่า แล้วทำไมเราถึงต้องเลือกที่จะอยู่ในจุดที่มันไม่มีความสุขแล้วไปต่อไม่ได้ แล้วมันก็เป็นการตกลงคุยกันทั้งสองฝ่ายแล้วว่าเขาเลือกทางนี้ เราเลือกทางนี้ แต่เรามีทางตรงกลางเพื่อลูก แค่นั้นก็คือจบแล้ว”

เส้นทางชีวิตของแต่ละคนถูกจัดเรียงมาแล้ว ปัญหาที่เจอคุณก็ผ่านมันมาได้ คุณก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงหลายคน ให้กับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวต่างๆ ที่อาจจะไม่รู้ว่าออกมาแล้วจะเป็นยังไง ?

ใช่ค่ะ เราไม่กล้าที่จะก้าวข้ามพื้นที่เซฟโซนมากกว่า เพราะเรารู้สึกว่าที่นี่คือที่ปลอดภัยของเรา กลัวที่จะออกไปเจออะไร อายุ 40 แล้วนะ ออกไปทำงานใครจะจ้าง แก่แล้วจะเล่นบทอะไร งานพรีเซ็นเตอร์จะมีเข้ามาจริงเหรอ เราก็คิดว่าทำไมเราต้องดูถูกตัวเองด้วย ทำไมถึงคิดว่าเราไม่มีศักยภาพมากพอที่เราจะกลับมาทำงาน และยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง

ทำไมเราต้องเอาชีวิตของเราผูกไว้กับคนๆหนึ่ง ซึ่งเราอยู่ตรงนั้นมันอยู่ไม่ได้อีกแล้ว ไม่มีความสุขอีกแล้ว มันไม่ได้มีคุณค่าอีกแล้ว เพราะฉะนั้นกลับมารักตัวเองค่ะ เมื่อเรารักตัวเอง เรารักคนรอบข้าง เราโดยเฉพาะลูก เราจะมีพลังมากเลยนะ ลองคิดดูว่าคนที่นอนร้องไห้ทุกคืนๆ เห็นหน้าเขา

แต่เราต้องร้องไห้ไม่มีความสุขกลัวหวาดระแวง กับการที่เราใจแข็งสู้ดิ ทุกคนมันต้องมีทางไป และอุ้มก็เชื่อกับนิวเสมอเลยจะพูดกันตลอดอะไรเกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาคงประทานมาให้เราได้เห็น ได้รู้ ไม่ตามืดตามัว คงบอกเราแล้วล่ะคุณมูฟออน ต้องเดินออกไปสิ ต้องทำได้ ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง

แล้วแม่ของอุ้มจะพูดตลอดว่าเธอคือ อุ้ม ลักขณา ลักขณาฆ่าไม่ตาย หม่าม้าบอกแล้วใช่ไหม เราดูแลตัวเองมาดีขนาดนี้ ออกกำลังกายอย่างหนัก ดูแลตัวเองให้อายุ 40 แล้วยังดูสวยอยู่ แล้วสวยกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ แล้วทำไมเธอถึงต้องด้อยค่าตัวเอง ก็อยากจะเป็นกำลังใจให้กับสาวๆ คนที่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเหมือนกัน

เราไปได้ โดยเฉพาะเรามองหน้าลูก เรานอนกอดเขา เห็นหน้าเขา มันมีพลังมหาศาลมากมาย ซึ่งทำให้เราแพ้ไม่ได้ ยอมไม่ได้ต้องเป็นคนที่ดีกว่าเดิม ต้องดีกว่าเดิมให้ได้มากกว่าเดิมด้วยเพื่อลูกของเรา”

อ่านข่าวเพิ่มได้ที่ : https://www.khaosod.co.th

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *